28 ธันวาคม 2559

สธ.ขับเคลื่อนการใช้ยาอย่างสมเหตุผล ตั้งเป้าโรงพยาบาลและรพ.สต.ผ่านเกณฑ์ทุกแห่ง ในปี 2560


เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2559 ที่โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพมหานคร นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการบรรยายพิเศษ “การพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล” ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล แก่ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข สาธารณสุขนิเทศก์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และผู้แทนเขตสุขภาพจากทั่วประเทศ 350 คน



           นายแพทย์โสภณกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้กำหนดเรื่องการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เป็นแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) สาขาที่ 15 เน้นการพัฒนาระบบบริการสุขภาพให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล และสร้างการตระหนักรู้แก่ทุกคนที่อยู่ในวงจรการใช้ยา เพื่อให้ประชาชนปลอดภัย ลดปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ลดค่าใช้จ่ายด้านยา โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกแห่ง ดำเนินการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use : RDU) ควบคู่ไปกับการจัดการปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ซึ่งในแต่ละปีพบผู้ติดเชื้อดื้อยา 88,000 คน และเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยา 38,000 คน และส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร ตั้งเป้าหมายภายในปี 2560 โรงพยาบาลทุกแห่งใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทุกแห่งใช้ยาปฏิชีวนะอย่างรับผิดชอบ



          นายแพทย์โสภณกล่าวว่า มาตรการพัฒนาโรงพยาบาลใช้ยาอย่างสมเหตุผล ประกอบด้วย 1.จัดให้ยามีคุณภาพ ปลอดภัย และต้นทุนเหมาะสม 2.ให้มีการสั่งใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ยาปฏิชีวนะ และยาสมุนไพรไทย และ3.ส่งเสริมประชาชนใช้ยาถูกต้องปลอดภัย โดยจัดระบบการเฝ้าระวังในกลุ่มโรคที่สำคัญคือ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคอุจจาระร่วง และข้อมูลเชื้อดื้อยา เพื่อให้ได้ข้อมูลพื้นฐานนำมาใช้ในการวางแผนจัดการแก้ไขปัญหา และกำหนดเป็นนโยบายของสถานพยาบาล ทั้งด้านการวิจัย การสร้างนวัตกรรม และการบูรณาการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล นำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ที่สุดต่อประชาชนต่อไป

  *******************************  27 ธันวาคม 2559

26 ธันวาคม 2559

“สธ.”สั่ง นพ.สสจ.ทั่วประเทศเฝ้าระวัง“ซีฟู๊ด-อาหารพื้นบ้าน”ไม่สุก ไม่สะอาด เสี่ยงท้องเสีย!!!ฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่


กระทรวงสาธารณสุข ห่วงใยประชาชนที่จะฉลองคริสต์มาส เทศกาลปีใหม่ 2560 การรับประทานอาหารทะเลดิบหรือซีฟู๊ด อาหารพื้นบ้านที่ปรุงไม่สุก อาจป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง ในปี2559 พบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ 1.2 แสนคน แนะอาหารต้องสะอาด ปรุงให้สุก สะอาด โดยเฉพาะยำหรือลาบแบบสุกๆ ดิบๆ ระหว่างเดินทางควรเลือกร้านที่อาหารสะอาด “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ควรพกยาแก้ท้องเสีย เช่น ยาธาตุน้ำขาว ยาธาตุน้ำแดง ยาลดกรดชนิดน้ำ ช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้

นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงประชาชนในเรื่องการรับประทานอาหารเพื่อร่วมฉลองวันคริสต์มาส วันหยุดเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2560 ซึ่งส่วนใหญ่นิยมเลือกซื้ออาหารจากตลาดสดมาปรุงเอง ซื้อจากร้านอาหาร หรือออกไปรับประทานนอกบ้าน  โดยเฉพาะอาหารทะเลหรือซีฟู๊ด เช่น กุ้ง หอย ปลาหมึก ปู หากกินแบบสุกๆ ดิบๆ หรืออาหารพื้นบ้านตามท้องถิ่น หากปรุงไม่สุกพอ อาจทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงได้ง่าย และโรคอาหารเป็นพิษตามมาได้


นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ดำเนินการเฝ้าระวัง ป้องกัน ปรับปรุงสุขาภิบาลอาหารและน้ำ รวมถึงการตรวจสภาพสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการล้างตลาด แพปลา เรือหาปลา ให้เป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันควบคุมโรค ในกรณีที่เกิดการระบาดของโรค ได้ขอความร่วมมือให้จังหวัดเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาติดตามสถานการณ์ และการดำเนินการควบคุมได้อย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง เพื่อให้ประชาชนได้ฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างมีความสุข สุขภาพปลอดภัย

ทั้งนี้ ได้ขอความร่วมมือกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ปรุงอาหาร ให้คำนึงความสะอาดและปรุงสุกด้วยความร้อนทั่วถึง อาหารที่เหลือเก็บต้องอุ่นให้ร้อนก่อนเสิร์ฟทุกครั้ง ผักผลไม้ ต้องล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง หลีกเลี่ยงการใช้มีด เขียง หั่นวัตถุดิบและอาหารปรุงสุกร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อโรค ดูแลภายในครัวให้สะอาด สำหรับผู้บริโภคขอให้ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือบ่อยๆ” หากกินอาหารประเภทปิ้งย่าง เช่น หมูกระทะ กุ้งกระทะ ขอให้ปิ้งให้สุกก่อน รวมถึงเมนูที่มักเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วงเช่น ลาบ ก้อยหมูดิบ ก้อยปลาดิบ ยำกุ้งเต้น ยำหอยแครง ข้าวผัดโรยเนื้อปู อาหารหรือขนมที่ราดด้วยกะทิสด ขนมจีน ข้าวมันไก่ ส้มตำ สลัดผัก และน้ำแข็ง เป็นต้น โดยอาหารที่ปรุงใหม่ต้องไม่เกิน 4 ชั่วโมงก่อนรับประทาน



สำหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวหรือเดินทางกลับบ้าน หากแวะรับประทานอาหาร ขอให้เลือกร้านที่สะอาด รสชาติอร่อยที่ผ่านการรับรองโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และควรพกยาแก้ท้องเสียจำพวก ยาธาตุน้ำขาว ยาธาตุน้ำแดง ผงเกลือแร่ ยาลดกรดชนิดน้ำ ซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีกว่าชนิดเม็ดติดตัวไปด้วย เพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้

สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานว่า ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2559-17 ธันวาคม 2559 พบผู้ป่วยอาหารเป็นพิษ 128,558 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โรคอุจจาระร่วง 1,134,591 ราย เสียชีวิต 5 ราย ซึ่งทั้ง 2 โรคนี้จะมีอาการใกล้เคียงกัน คือ มีอาการอาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลวบ่อยครั้ง อาจมีไข้ได้ สามารถดูแลเบื้องต้นได้โดยให้ดื่มผงละลายน้ำตาลเกลือแร่โออาร์เอส ที่หาซื้อได้ง่ายในร้านขายยาทั่วไปโดยให้ดื่มแทนน้ำ หรืออาจปรุงดื่มเองโดยใช้น้ำต้มสุก 1 ขวดน้ำปลาใหญ่ประมาณ 750 ซีซี. ผสมน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ และเกลือแกงครึ่งช้อนชา ผสมให้เข้ากันทิ้งให้เย็นดื่มแล้วดื่มแทนน้ำ หากอาการไม่ดีขึ้น ขอให้รีบพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน


************** 25 ธันวาคม 2559

25 ธันวาคม 2559

'สาสุข'จับมือภาคเครือข่ายสุขภาพ ดูแลประชาชน “กลับบ้านปลอดภัย ใส่ใจเพื่อนร่วมทาง ปีใหม่ 2560”


กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่าย เตรียมพร้อมระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุข พร้อมดูแลประชาชนเดินทางกลับบ้านฉลองช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2560 อย่างปลอดภัย กำชับโรงพยาบาลในสังกัดทั่วประเทศเตรียมพร้อมบุคลากรกว่า 100,000 คน รถพยาบาลฉุกเฉินเกือบ 5,000 คันพร้อมให้บริการ ตลอด 24 ชั่วโมง แจ้งขอความช่วยเหลือโทร.1669 ขอความร่วมมือประชาชน“ปฏิบัติตามกฎ ดื่ม-ง่วงไม่ขับ ไม่ขับรถเร็ว สวมหมวกกันน็อค คาดเข็มขัดนิรภัย และใส่ใจผู้ร่วมทาง”

          วันนี้ (23 ธันวาคม 2559) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ธวัช  สุนทราจารย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.สุเทพ วัชรปิยานันทน์  อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก  ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นพ.ชูชัย ศรชำนิ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายนภดล สันติภากรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ร่วมกันแถลงข่าว “กลับบ้านปลอดภัย  ใส่ใจเพื่อนร่วมทาง ปีใหม่ 2560”

          นพ.ธวัชกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีความห่วงใย ปรารถนาให้ประชาชนเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ร่วมฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2559 ต้อนรับปีใหม่ 2560 กับครอบครัว ญาติมิตรอย่างมีความสุข ได้ร่วมกับหน่วยงานและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง รณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุ ลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวทุกปี ซึ่งมีการเดินทางใช้รถใช้ถนนมากขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า สาเหตุหลักมาจากการขับรถเร็ว การดื่มแล้วขับ การง่วง/หลับใน รวมทั้งปัจจัยที่ทำให้บาดเจ็บรุนแรงคือการไม่สวมหมวกนิรภัยและไม่คาดใช้เข็มขัดนิรภัย 

          กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นจุดประสานงานและติดตามข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งด้านความพร้อมการจัดระบบบริการ และการป้องกันการบาดเจ็บ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยประสานความร่วมมือโรงพยาบาลในสังกัดอื่นๆ เช่น กระทรวงกลาโหม ทบวงมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศกว่า 1,500 แห่ง เตรียมพร้อมหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์รับแจ้งเหตุ ระบบการดูแลรักษาในโรงพยาบาล และการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาล ประชาชนแจ้งขอความช่วยเหลือที่หมายเลข 1669 ฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง 

          “ขอให้ประชาชนเตรียมความพร้อมก่อนออกเดินทาง  ควรเผื่อเวลาเดินทางเพื่อไม่ต้องเร่งรีบ จากปัญหารถติด ซึ่งใช้เวลาเดินทางมากกว่าปกติถึงสองเท่า ปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ขับรถเร็ว ไม่ดื่มก่อน/ขณะขับขี่ รวมทั้งใช้อุปกรณ์ป้องกัน สวมหมวกกันน็อค คาดเข็มนิรภัย และขอให้ใส่ใจผู้ร่วมทาง โดยสังเกตคนขับรถหากพบว่าง่วงหรือเหนื่อยให้หยุดพัก เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสารคันเดียวกันและผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นๆ” นพ.ธวัชกล่าว



          ด้านนพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้กำชับให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป  ดำเนินการ 3 มาตรการหลัก ดังนี้ 1.ด้านระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมพร้อมศูนย์สื่อสารรับแจ้งเหตุ หน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินทุกระดับ ขณะนี้มีรถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมเครื่องมือแพทย์ 4,915 คัน ถึงที่เกิดเหตุภายใน 10 นาทีหลังรับแจ้ง รวมทั้งให้จัดหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินประจำบนเส้นทางถนนสายหลัก ที่มีจุดตรวจ/จุดบริการ อยู่ห่างกันมาก เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บให้รอดชีวิต และปลอดภัยมากที่สุด

          2.ด้านการรักษาพยาบาล ได้เตรียมบุคลากรกว่า 100,000  คน อาทิ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สนับสนุนประจำห้องฉุกเฉินและหอผู้ป่วย ศัลยแพทย์ทุกสาขาประมาณ 1,500 คน พร้อมบริการตลอด  24 ชั่วโมง สำรองคลังเลือดทุกหมู่ อุปกรณ์ เวชภัณฑ์ยา และสำรองเตียงเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 มีศูนย์ประสานการส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนักมากกว่า 90 แห่ง และประสานความร่วมมือกับเครือข่ายเทคโนโลยีเครื่องมือแพทย์ชั้นสูง เช่น เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครื่องตรวจอวัยวะด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อช่วยให้แพทย์ตรวจวินิจฉัย ค้นหาความผิดปกติและรักษาได้รวดเร็วที่สุด และ3.ด้านการป้องกัน มอบให้เจ้าหน้าที่และอสม.ร่วมตั้งด่านชุมชนในพื้นที่ สกัดกั้นกลุ่มเสี่ยงเช่น เด็กขับขี่รถจักรยานยนต์ คนที่ดื่มแล้วขับ ไม่ให้ออกจากหมู่บ้าน/ชุมชน พร้อมตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์ และบังคับใช้กฎหมายตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามขายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ.2555 อย่างเคร่งครัด

          ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 ที่ผ่านมา แนวโน้มการเสียชีวิตและความรุนแรงเพิ่มขึ้นร้อยละ 11 พบผู้เสียชีวิต 380 คน เสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุสูงถึงร้อยละ 56 สาเหตุหลักมาจากการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด มีการดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะในวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคมที่มีการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่  อุบัติเหตุจากสาเหตุดื่มแล้วขับจะสูงถึงร้อยละ 40  ความเสี่ยงสำคัญที่ทำให้การบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้นคือ การง่วง/หลับใน เพราะไม่มีการชะลอความเร็ว พบร้อยละ 7.3 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดบนถนนใน อบต.และหมู่บ้าน ผู้บาดเจ็บเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน มีการดื่มสุราก่อนการขับขี่ และขับขี่รถจักรยานยนต์ 

          ด้านดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สสส. สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนมาตั้งแต่ปี 2546 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 นี้ ได้จัดแคมเปญรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนนภายใต้ชื่อ “กลับบ้านปลอดภัย” พัฒนาคลิปวิดีโอเน้นรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์ ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตจริงของผู้สูญเสียคนที่รักจากอุบัติเหตุทางถนน โดยเปลี่ยนความโศกเศร้ามาเป็น “พลัง” ส่งต่อความห่วงใยไปยังคนรอบข้าง ในเรื่องการขับขี่ปลอดภัย ช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางถนน ด้วยการส่งข้อความ ความห่วงใยผ่านโลกโซเชียล เพื่อร่วมรณรงค์สร้างจิตสำนึกและทัศนคติการขับขี่ปลอดภัย 



          “ปัญหาการดื่มแล้วขับ ขับเร็ว ยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยช่วงเทศกาลปีใหม่2559 ที่ผ่านมา มีถึง 73 ครอบครัวที่สูญเสียคนที่รักจากคนที่ดื่มแล้วขับ มีคนเดินถนนถูกชนเสียชีวิต 34 คนหรือคิดเป็น ร้อยละ 9 ของผู้เสียชีวิตในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งหากขับรถชนคนเดินถนนด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ผู้ถูกชนมีโอกาสเสียชีวิตถึงร้อยละ 85 รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนขณะขับขี่ ถ้าขับรถด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. เพียงละสายตามองหน้าจอมือถือ2 วินาที หากเกิดการชนจะมีแรงปะทะเทียบเท่าการตกตึก 13 ชั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทนได้ จึงขอให้ผู้เดินทางหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนให้เกิดขึ้นในสังคมไทย” ดร.สุปรีดากล่าว

          ด้านนพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรค เน้นการทำงานเชิงรุก ร่วมกับสำนักงานควบคุมโรค และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ออกตรวจเตือน/ประชาสัมพันธ์และบังคับใช้กฎหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ก่อนเทศกาล และในช่วงเทศกาลเข้มข้นการบังคับใช้กฎหมายทั่วประเทศ โดยเฉพาะการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ต้องห้าม คือสถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สวนสาธารณะ รวมทั้งการขายให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี จัดทีมเจ้าหน้าที่ให้ทำการสุ่มตรวจการกระทำผิดกฎหมาย มีทีมจากสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกตรวจเตือนสถานประกอบการ ร้านค้าตลอดช่วงเทศกาล นอกจากนี้ ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ไม่จัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ร่วมกับสินค้าอื่นในกระเช้าปีใหม่ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี รวมทั้งส่งเสริมให้มีกิจกรรม“สวดมนต์ข้ามปี” ส่งผลให้ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลอง จัดงาน count down ตามสถานที่ต่างๆ เป็นจำนวนมาก  


          ด้านนายแพทย์สุเทพ วัชรปิยานันทน์ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ขอแนะนำให้ใช้ยาหอมอินทรจักร์ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสดชื่น ตื่นตัว คลายจากอาการง่วงนอน และใช้ลูกอมสมุนไพรที่มีรสเปรี้ยวเช่น รสบ๊วย รสมะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะม่วง ส้มเขียวหวาน นอกจากนี้ สามารถใช้การกดจุดบริเวณใบหน้าคลายง่วงด้วยตัวเองตามศาสตร์การแพทย์แผนจีน 5 จุด คือ บริเวณร่องระหว่างจมูกกับปาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง จุดระหว่างคิ้ว จุดห่างจากหางตา 2 ซม.กับหางคิ้ว จุดบริเวณท้ายทอย และจุดกึ่งกลางระหว่างหัวไหล่ โดยกดแรงพอทนได้ ค้างไว้ 30 วินาทีแล้วคลายออก ประมาณ 5-10 รอบต่อจุด ทั้งนี้ ในหญิงตั้งครรภ์ห้ามกดจุดกึ่งกลางระหว่างหัวไหล่ จะทำให้มดลูกบีบรัดตัว อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ ส่วนยาสมุนไพรที่ควรมีติดตัวติดรถได้แก่ ยาขมิ้นชัน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แก้ท้องเสีย ยารางจืด ถอนพิษไข้ แก้แพ้อาหาร และแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย ยาดมสมุนไพร แก้วิงเวียนศีรษะยาหม่อง ยานวด หรือน้ำมันนวด บรรเทาอาการปวดเมื่อย และคาลาไมน์พญายอ แก้ผดผื่นคัน ผื่นแพ้ผิวหนัง เป็นต้น 

  *********************************  23 ธันวาคม 2559

23 ธันวาคม 2559

สธ.ขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ จัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในสถานบริการและชุมชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี



            กระทรวงสาธารณสุข เร่งรัดขับเคลื่อนบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในสถานบริการและชุมชน ตามนโยบายรัฐบาล  เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน  ให้หน่วยงานในสังกัดทุกแห่งบริหารจัดการขยะมูลฝอยแบบศูนย์รวม  ตั้งเป้าลดขยะเกิดใหม่ 2.6 ล้านตัน/ปี นำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 5.7 ล้านตัน/ปี ขยะของเสียอันตรายชุมชน มูลฝอยติดเชื้อ และกากอุตสาหกรรมได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง 3.6ล้านตัน/ปี


                                                                                  
             วันนี้ ( 23 ธันวาคม 2559 ) ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ กทม. นายแพทย์โสภณ  เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ “มูลฝอยติดเชื้อ วาระแห่งชาติ”(Infectious Waste National Agenda)เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กลไกขับเคลื่อนนโยบายและ best practice จากจังหวัดต้นแบบการจัดการมูลฝอยแบบศูนย์รวม  โดยมีบุคลากรสาธารณสุขและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมประชุมจำนวน 500 คน พร้อมมอบเกียรติบัตรให้จังหวัดที่เป็นต้นแบบการดำเนินงานการจัดการมูลฝอยติดเชื้อแบบศูนย์รวมใน 12 เขตสุขภาพ


                            
             นายแพทย์โสภณ  กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดให้ปัญหาขยะและสิ่งแวดล้อม เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องได้รับการจัดการแบบบูรณาการ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลประเด็นสำคัญการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม ภายใต้พระราชบัญญัติงบประมาณ  แผนงานบูรณาการขยะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 กระทรวง 19 หน่วยงาน เพื่อให้ประเทศมีการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม และเอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยในปี 2559 ได้สนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานด้านขยะและสิ่งแวดล้อมให้กับทุกจังหวัดในส่วนภูมิภาค และขับเคลื่อนการดำเนินงานต้นแบบการจัดการมูลฝอยติดเชื้อแบบศูนย์รวม  ตามแผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศพ.ศ.2559-2564


                                                                        
             โดยให้หน่วยงานในสังกัดทุกแห่งบูรณาการการจัดการมูลฝอยและของเสียอันตราย การจัดการมูลฝอยติดเชื้อและการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล (GREEN&CLEEN Hospital)ตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ตั้งแต่การคัดแยกที่แหล่งกำเนิด รวบรวมขนย้ายไปรอกำจัดที่เรือนพักมูลฝอยติดเชื้อ  และรวมไปถึงการมีระบบรวบรวม ขนส่ง มูลฝอยติดเชื้อมาโรงพยาบาลเพื่อรอกำจัด มีวัตถุประสงค์เพื่อลดขยะเกิดใหม่ 2.6 ล้านตัน/ปี สามารถนำขยะไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 5.7 ล้านตัน/ปี และขยะของเสียอันตรายชุมชน มูลฝอยติดเชื้อ และกากอุตสาหกรรมได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง 3.6ล้านตัน/ปี โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  สร้างความรู้ สร้างความตระหนัก มีข้อมูล ระบบฐานข้อมูล สารสนเทศ และการบำรุงรักษา และเทคโนโลยี การกำกับ ติดตาม และบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายและการจัดการความเสี่ยงด้านสุขภาพกับผู้ที่เกี่ยวข้อง  
                                                                          
             ทั้งนี้ ประเทศไทยกำหนดมาตรการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน  4 มาตรการ ดังนี้ 1.ระบบข้อมูลและเฝ้าระวัง ประเมินความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพ 2.ระบบป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงโดยมีการบริหารจัดการมูลฝอยให้ถูกสุขลักษณะ 3.บริการอาชีวอนามัยและเวชกรรม และการดูแลผู้ที่มีความเสี่ยงผู้ที่ได้รับผลกระทบ  4.กฎหมายและระบบบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม
                                                                               ***************** 23 ธันวาคม 2559

22 ธันวาคม 2559

มารู้จัก“คลินิกหมอครอบครัว”กับการสร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการของรัฐกันเถอะ!!


รองนายกรัฐมนตรี มอบกระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนและปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิ ตั้งเป้ามีคลินิกหมอครอบครัว 2,200 แห่งในปี 2570 เป็นคลินิกดูแลสุขภาพประจำครอบครัว กระจายครอบคลุม ดูแลสุขภาพคนไทยกว่า 65 ล้านคน ด้วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและสหสาขาวิชาชีพ ดูแลประชากร 10,000 คนต่อ 1 ทีม เนื่องจากประชาชนมากกว่าร้อยละ 50  เข้ารับบริการในโรงพยาบาลด้วยโรคพื้นฐาน

รัฐบาลมีนโยบายลดความเหลื่อมล้ำของสังคม สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ ได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขขับเคลื่อนและปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิ คลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster) เนื่องจากประชาชนมากกว่าร้อยละ 50 เข้ารับบริการในโรงพยาบาลด้วยโรคพื้นฐาน โดยร่วมกับราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ ผลิตแพทย์ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เพื่อทำงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพเพื่อดูแลสุขภาพคนไทยกว่า 65 ล้านคน

รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ในปี 2559 สร้างคลินิกหมอครอบครัว 8 แห่งกระจายในทุกภูมิภาค 8 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ กำแพงเพชร ขอนแก่น เพชรบูรณ์ ตรัง เชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก และในขณะนี้ได้บริการคลินิกหมอครอบครัวแล้ว 48 แห่ง ใน 16 จังหวัด ให้บริการโดยทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ที่ประกอบด้วยสหวิชาชีพดูแลประชากร 10,000 คนต่อ 1 ทีม

โดยใช้หลักเวชศาสตร์ครอบครัว ดูแลความเจ็บป่วยของ คน แบบองค์รวม มากกว่าดูแลเฉพาะ โรค ในทุกมิติสุขภาพทั้งด้าน การรักษา ส่งเสริม ป้องกัน ฟื้นฟู ให้บริการทั้งก่อนป่วยจนถึงระยะสุดท้าย รวมทั้งเชื่อมโยงระบบบริการสุขภาพจากชุมชนสู่คลินิกหมอครอบครัว และโรงพยาบาลแม่ข่าย ด้วยระบบส่งต่อ ให้คำปรึกษา รักษาพยาบาล ระบบยาและเวชภัณฑ์ ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน เพื่อลดป่วย ลดตาย ลดแออัด ลดรอคอย ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ให้บริการทุกคน ทุกที่ ทุกอย่าง ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารอันทันสมัย

ตั้งเป้าภายในปี 2560 จะมีคลินิกดูแลสุขภาพประจำครอบครัวครบ 1 ล้านครอบครัว และมุ่งสู่เป้าหมายทุกพื้นที่ทั่วประเทศในปี 2570 ตั้งเป้ามีคลินิกหมอครอบครัว 2,200 แห่งในปี 2570 ด้วยการทำงานร่วมกันในทุกระดับ ทุกมิติ ด้วยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ รวมกว่า 6,500 ทีม เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลสุขภาพประชาชนในยุคดิจิทัล สะดวกและรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมเกิดความมั่นคงด้านสุขภาพ และพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน



ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ปรับรูปแบบระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้ โดยมีทีมหมอครอบครัวเป็นที่ปรึกษาและร่วมดูแลด้วยหลักเวชศาสตร์ครอบครัวเป็นประจำ ให้บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี รวมทั้งให้โรงพยาบาลจังหวัดและอำเภอจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว จัดบริการปฐมภูมิให้ประชาชนที่เข้าถึงบริการยากลำบากทั้งในเขตเมืองและชนบท จากความแออัดหรือจากการเดินทาง ในปีงบประมาณ 2560 ตั้งเป้าดำเนินการใน 76 จังหวัด 424 แห่ง และมีทีมหมอครอบครัวแห่งละ 1 ทีม ส่วนกรุงเทพมหานครดำเนินการใน 3 เขต เขตละ 1 ทีม ทั้งนี้ ในปี 2564 ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3,250 ทีมและให้ครบ 6,500 ทีม เพื่อดูแลประชาชนทั่วประเทศภายในปีงบประมาณ 2569

กิจกรรม “ออกกำลังกายทุกวันพุธเพื่อสุขภาพคนสาธารณสุขยะลา”


กรณีเมื่อวันที่ 22 พ.ย.59 ที่ทำเนียบรัฐบาล พันเอกหญิงทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี รายงานผลการประชุมนานาชาติว่าด้วยการส่งเสริมกิจกรรม ทางกาย 

โดยผลการประชุมดังกล่าวระบุว่าในเด็กและผู้สูงอายุของคนไทยมีกิจกรรมเหนือยนิ่ง อาทิการนั่งเล่น iPad หรือดูทีวีในวันหนึ่งเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงกำหนดว่าในวันพุธที่ 30 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทุกๆวันพุธของทำเนียบรัฐบาลและส่วนราชการต่างๆ ในช่วงเวลา 15:00 น. ถึง 16:30 น. ให้เป็นช่วงเวลาการออกกำลังกายของข้าราชการ

โดยในส่วนของทำเนียบรัฐบาลจะใช้บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เป็นที่ออกกำลังกายโดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าหากสัปดาห์ใดที่นายกฯมีเวลาว่างก็จะมาร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย โดยในช่วงเวลาดังกล่าวขอให้ข้าราชการทุกคนนะเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะชุดพร้อมออกกำลังกาย มาออกกำลังกายร่วมกันเพื่อเป็นการขยับเขยื้อนร่างกาย โดยไม่ต้องลงทุนซื้อหาชุดออกกำลังกายใหม่ ทั้งนี้การออกกำลังกายจะช่วยให้ข้าราชการมีความตื่นตัวในการทำงานและเมื่อออกกำลังกายร่วมกันเสร็จแล้ว สามารถไปประกอบกิจวัตร ประจำวันเช่นการรับส่งลูกได้ต่อไปตามปกติ


กิจกรรม “ออกกำลังกายทุกวันพุธเพื่อสุขภาพคนสาธารณสุขยะลา”
เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา ซึ่งเป็นหน่วยงานสร้างสุขภาพคนไทยชายแดนใต้ได้จัดกิจกรรม ออกกำลังกายทุกวันพุธเพื่อสุขภาพคนสาธารณสุขยะลา 




กิจกรรม “ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพสาธารณสุขอำเภอเมืองยะลา”
ในส่วนของ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองยะลา นายบุญลือ นวลจันทร์ สาธารณสุขอำเภอเมืองยะลา พร้อมด้วยข้าราชการ และลูกจ้างในสังกัด ได้ร่วมกันออกกำลังกายทุกวันพุธเพื่อเป็นแบบอย่างในฐานะหน่วยงานที่ดูแลเรื่องสุขภาพ อีกทั้งเพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มีการสั่งการ ณ ลานหน้าสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองยะลา มุ่งสร้างสุขภาพให้กับชาวสาธารณสุขมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง พร้อมเดินหน้าดูแลชีวิตความเป็นอยู่ สุขภาพ ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบต่อไป.





21 ธันวาคม 2559

ครม.อนุมัติร่างแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้


กระทรวงสาธารณสุข เผยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 25602564) และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตัวชี้วัดความสำเร็จคือ ประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขลดลง  ผู้รับบริการ/ผู้ให้บริการพึงพอใจ รายจ่ายด้านสุขภาพของประเทศไม่เกินร้อยละ5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ

นายแพทย์โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำร่างแผนแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 25602564) เป็นแผนระยะ 5 ปี อยู่ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 และสอดรับกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ในข้อ 3 ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน และข้อ 4 ยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม ซึ่งแผนนี้จะช่วยกำหนดทิศทางการทำงานที่ชัดเจน เป็นแนวทางการจัดทำโครงการ สอดรับกับประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รูปแบบของโรคที่เปลี่ยนแปลงไป โรคติดต่อลดลง เป็นโรคหัวใจ มะเร็ง หลอดเลือดสมองตีบหรือแตก โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม สาเหตุการตายอันดับหนึ่งมาจากอุบัติเหตุทางถนน 


นายแพทย์โสภณกล่าวต่อว่า แผนพัฒนาฉบับนี้ฯ ได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  ประเด็นการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 2 และกรอบแนวทางแผนระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข กรอบเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และการปรับโครงสร้างไปสู่ประเทศไทย 4.0 ใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผน กำหนดวิสัยทัศน์ ระบบสุขภาพเข้มแข็ง เป็นเอกภาพ เพื่อคนไทยสุขภาพดี สร้างประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 5 เรื่อง คือ 1.ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย มีความรอบรู้ด้านสุขภาพมากขึ้น การเจ็บป่วยและตายจากโรคที่ป้องกันได้ลดลง 2.คนไทยทุกกลุ่มวัยมีสุขภาวะที่ดี ลดการตายก่อนวัยอันควร 3.เพิ่มขีดความสามารถของระบบบริการสุขภาพทุกระดับ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสะดวก เหมาะสม 4.มีบุคลากรด้านสุขภาพในสัดส่วนที่เหมาะสม และ5.มีกลไกการอภิบาลระบบสุขภาพแห่งชาติที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

สำหรับตัวชี้วัดความสำเร็จหรือวัตถุประสงค์ของการทำงาน คือประชาชนเจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคที่เป็นปัญหาสาธารณสุขลดลง ผู้รับบริการ/ผู้ให้บริการพึงพอใจ รายจ่ายด้านสุขภาพของประเทศไม่เกินร้อยละ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ด้วยยุทธศาสตร์การทำงาน 4 ด้าน ได้แก่ 1.เร่งการเสริมสร้างสุขภาพคนไทยเชิงรุก สร้างความเป็นธรรม 2.ลดความเหลื่อมล้ำในระบบบริการสุขภาพ 3.พัฒนาและสร้างกลไกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพ และ4.พัฒนาและสร้างความเข้มแข็งในการอภิบาลระบบสุขภาพ เพื่อคนไทยสุขภาพดีสร้างประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 25602564) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2559 และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มหาดไทย ศึกษาธิการและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพ ใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินงานการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศตามระยะเวลาของแผนฯ

  *************************  21 ธันวาคม 2559

[CR]สามพี่น้องพิชิต3จังหวัดชายแดนภาคใต้(ตอน:กุนุงซิลิปัตทะเลหมอกสุดปลายด้ามขวาน#ยะลา)


สวัสดีค่ะ มาอีกแล้วกับเขียนบอกเล่าถึงการเดินทาง
นี่คือทริปที่เราอยากเขียนมากที่สุดแห่งปี  เพราะมันคือการเดินทางที่พิเศษที่สุดของเราในปีนี้ค่ะ
นั่นก็คือการเดินทางมุ่งสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
" ปัตตานี , ยะลา , นราธิวาส "
เราชวนใครก็ต่างส่ายห้ว  มีบ้างที่อย่างไปแต่ก็ติดภารกิจ ..หลายคนบอกว่าแค่ได้ยินชื่อก็นึกกลัวแล้วก็ตามที่รู้ๆกันอยู่ว่าข่าวที่ออกมามีแต่เหตุการณ์ความไม่สงบ เรื่องระเบิดตามที่ต่างๆ    เพื่อนๆมักจะบอกเราว่า
"ไม่กลัวเหรอ???"
มาเริ่มจากการเดินทางกันก่อนค่ะแพลนของพวกเราสามพี่น้องคือ เมื่อมาถึงหาดใหญ่แล้วก็จะเช่ารถเที่ยว วัน ให้ครบ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเช่ารถของAvis 3 วันราคาอยู่ที่ 3,297บาทค่ะ
เราเลือกบินไฟล์ทกลางคืนวันที่9/11/2559 ตอน21:05น.จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ โดยบินลงหาดใหญ่ ถึงตอน 22:35น. กินข้าวกินปลา และหาที่พักโดยนอนHostelแถวสถานีรถไฟหาดใหญ่ 1คืน(คนละ300บาท)
จุดแรกคือในภาพคือ หาดสะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา
รอชมแสงแรกกันที่นี่

ที่แรกที่แวะคือ " มัสยิดกลางปัตตานี " ซึ่งตั้งอยู่ที่ตัวเมืองปัตตานี ริมถนนสายปัตตานี-ยะลา
จุดที่ต่อไป คือ หอดูนก ม.อ. ปัตตานี

ที่นี่เป็นเส้นทางเรียนรู้ป่าชายเลน  ที่ครอบคลุมพื้นที่ป่าชายเลนทั้งหมด ในระยะทาง 1,500 เมตร
เที่ยวหอดูนกเสร็จก็ 9 โมงพอดี เรามีนัดกับร้านอร่อยของ จ. ปัตตานี นั่นคือราดหน้าร้าน "นำรส"ร้านตั้งอยู่ตรงข้ามที่ทำการไปรษณีย์ เปิดตอน9โมง

หลังจากอิ่มท้องก็มาต่อกันที่ "แหลมตาชี" เป็นจุดจอดเรือประมงของชาวบ้าน ตรงแถวนี้ต้นสนเยอะมากๆ ตอนแรกกะถ่ายรูปแถวต้นสนซักหน่อย แต่ยุงเยอะมากๆ เลยอยู่เก็บภาพแค่แป๊บเดียวเท่านั้น


ที่นี่เป็นหาดทรายที่เกิดขึ้นใหม่ตามแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ในพื้นที่ระหว่างหมู่ 1-3 บ้านตะโล๊ะสมิแล  หลังจากตลอดช่วง 20 ปี ที่ผ่านมาคลื่นได้กัดเซาะเอาผืนดินของชาวบ้านนับร้อยๆ ไร่ หายไปในทะเล
ขับกันมาเรื่อยๆก็เข้าสู่จังหวัดยะลา
บ่ายแล้วเริ่มหิว พวกเราแวะชิมเมนูปักษ์ใต้
"ต้มพุงวัว" หรือต้มเครื่องในวัวนั่นเอง คือภาคใต้จะเรียกเครื่องในวัวว่า พุงวัว
ข้างร้านต้มพุงวัวมีกะหรี่ปั๊บขายด้วย ทำกันสดๆ อร่อยมากๆ ชิ้นละ5บาทเท่านั้นกะหรี่ปั๊บเป็นอาหารแบบตะวันตกผสมกับอินเดีย ได้รับความนิยมจากชาวมุสลิมในประเทศไทย
ร้านนี้คนซื้อกันเยอะมาก สั่งทีถุงใหญ่ๆ ทำไม่ทันขายกันเลยทีเดียว ไม่ลองไม่ได้แล้ว  ร้านนี้อร่อยมากแป้งอร่อย ไส้กลมกล่อม มีไส้ไก่/ไส้ปลา/ไส้มัน พวกเราซื้อไป100บาท เพื่อไว้เป็นเสบียงตอนขึ้นเขา
ต้องบอกก่อนว่าเป้าหมายในการเดินทางทริปนี้คือการพิชิตยอดเขากุนุงซิลิปัต(ฆูนุงซีรีปัต) ซึ่งการเดินทางไปที่นี่เพื่อความสะดวกและปลอดภัยควรไปกับคนในท้องถิ่น..
เริ่มต้นการเดินทางกันเลย เจอกับทีมสต๊าฟที่ กม.28
ระหว่างทางมองเห็นยอดเขากุนุงซิลิปัต...นั่นแหละ ยอดเขาที่พวกเราสามพี่น้องจะไปพิชิตกัน
ฝนตกตลอดทำให้เริ่มหนาวๆ..เลยมาอาศัยความอบอุ่นๆแถวๆกองไฟตรงนี้


พวกเราสามคนตื่นตี5รีบเดินขึ้นยอดเขากุนุงซิลิปัต ถึงเป็นกลุ่มแรก... ดีใจมากๆ แม้จะยังมืดๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารอบๆตัวเราคือ "อภิมหาทะเลหมอก" มันคือทะเลหมอกที่หนาแน่นที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยเห็น


ทะเลหมอกที่นี่มีความพิเศษคือ ข้างบนเป็นยอดเขาที่มีพื้นที่ไม่กว้างนัก เมื่อยืนอยู่ข้างบนเราจะสามารถมองเห็นทะเลหมอกรอบตัว 360 องศา  พวกเราอยู่ใกล้ชิดทะเลหมอกมาก

ขาลงเดินไปเรื่อยๆชมสิ่งมีชีวิตเล็กๆข้างทาง ..มีเห็ดแชมเปญด้วยนะ ^^

หลังจากที่ลงจากเขาเป็นอันเรียบร้อย พวกเราก็ล้างเนื้อล้างตัว และพากันมาแวะที่ร้านพิซซ่า กม. 32 " DARINA PIZZA "  ร้านพิซซ่าร้านเดียวในแถบนี้   เป็นร้านของ "บังมัง" คนทำพิซซ่า คือภรรยาของบังนั่นเอง โดยทางร้านมีแนวคิดว่า ที่นี่อยู่ห่างไกลทำให้ พิซซ่าเป็นอาหารที่หากินค่อนข้างยาก จึงได้ตั้งร้านนี้ขึ้นมา เรียกได้ว่าเป็นร้านพิซซ่า ร้านเดียวในพื้นที่แถบนี้เลยก็ว่าได้
ถึงเวลาที่ต้องอำลาที่นี่แล้ว..ยังไม่อยากกลับเลย
ถ้ามีโอกาสคงจะมาเที่ยวที่นี่อีก ..ที่นี่ไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่ใครๆพูดกัน ถ้ามาคราวหน้ากะว่าจะพัก"บ้านทะเลหมอก"บ้านพักโฮมสเตย์ของบังมัง ซึ่งอยู่ใกล้ๆจุดชมทะเลหมอกเลย แอบกระซิบถามราคา ราคาถูกมากๆ คือถ้ามาไม่เกิน 7 คนจะราคา700 บ.
และถ้า 7 คนขึ้นไป เพิ่มคนละ100 (ไม่รวมอาหาร)
.
.
คราวหน้าถ้าได้มาจะมาเล่น พาราเพลนเหนือทะเลหมอกด้วย ซึ่งอันนี้เป็นกิจกรรมใหม่ของที่นี่  บินมุดทะเลหมอกคงจะฟินน่าดู
แล้วเราจะพบกันอีก ^____^

ที่มา:pantip.com

20 ธันวาคม 2559

หน้าฝนกับ 8 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพแฝงความอร่อย

ฝนเอยฝนมา... ได้เวลาหน้าฝนอันเปียกปอนมาเยือนแล้ว ไม่ใช่แค่ความชุ่มฉ่ำเท่านั้นนะ รับรองว่า โรคเพียบ ! ใครที่ไม่อยากป่วยหน้าฝนก็ลองมาดู 8 เมนูอาหารจานเด็ดต้อนรับหน้าฝน รับมือให้พร้อมจะได้ไม่ป่วย แถมอร่อยด้วย
ถ้าอากาศจะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตกแบบนี้ มีหวังร่างกายคงจะต้านทานไม่ไหว ปรับตัวไม่ทันเอาได้ง่าย ๆ ยิ่งคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำก็คงต้องดูแลร่างกายกันให้มากหน่อย เพราะโรคที่มากับฝนนั้นเยอะเหลือเกิน วันนี้กระปุกดอทคอมมี 8 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพต้านโรคในช่วงหน้าฝนมาแนะนำ ซึ่งในแต่ละเมนูมีทีเด็ดที่สามารถช่วยปรับสมดุลให้ร่างกายอยู่ในอุณหภูมิที่ปกติและคงที่ และนอกจากจะช่วยดูแลรักษาและบำรุงสุขภาพทางกายได้แล้ว ยังจะพบกับความอร่อยที่แฝงมากับเมนูเหล่านี้อีกด้วย

1. แกงเลียง
ถ้าอากาศจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตกทุกวันแบบนี้ ยังไงเสียก็คงหนีอาการเป็นหวัดคัดจมูกน้ำมูกไหลไม่พ้นแน่นอน ถ้าขึ้นชื่อว่าเมนูอาหารแก้หวัดก็ต้องนึกถึงเมนูแกงเลียงเป็นอันดับแรก ๆ ตักซดร้อน ๆ จมูกโล่งโปร่งสบายดีนักแล ทีเด็ดก็อยู่ตรงที่ความเผ็ดร้อนจากเครื่องแกงที่จัดมาทั้งกระชาย พริกไทยดำ และหอมแดง และผักที่ใส่ลงไปในแกงเลียงนี่แหละ เขาว่ากันว่า ช่วยแก้หวัดชะงัดนัก [สูตรจาก คุณปูขาเก เซมารู]
ส่วนผสม แกงเลียง
          • พริกไทยดำ 1 1/2 ช้อนชา
          • กระชาย 1-2 แง่ง
          • หอมแดง 3-4 หัว
          • กะปิ 1 ช้อนชา
          • กุ้งแห้งป่นละเอียด 1/3 ถ้วย
          • น้ำซุปไก่ 3 ถ้วย
          • บวบ หั่นเป็นชิ้นพอคำ 150 กรัม
          • ฟักทอง หั่นเป็นชิ้นพอคำ 200 กรัม
          • ซูกินี หั่นเป็นชิ้นพอคำ 150 กรัม
          • ข้าวโพดอ่อน หั่นสไลซ์ 150 กรัม
          • เห็ดกระดุม 150 กรัม
          • กุ้งสด 200 กรัม
          • ใบแมงลัก 80 กรัม
          • น้ำปลา (ปรุงรส)
วิธีทำแกงเลียง
          • 1. เตรียมเครื่องแกงก่อน โดยโขลกพริกไทยกับกระชายแล้วใส่หอมแดงลงไปโขลกให้ละเอียด ตามด้วยกะปิ โขลกรวมกัน จากนั้นจึงใส่กุ้งแห้งป่นลงไปโขลกรวมกันอีกครั้งให้ละเอียดเป็นอันเรียบร้อย
          • 2. ใส่น้ำซุปไก่ลงในหม้อ ต้มให้เดือดแล้วใส่เครื่องแกงลงไป
          • 3. พอน้ำแกงเดือดก็ใส่ผักที่สุกยากลงไปก่อน ต้มพอเดือดอีกครั้งจึงใส่ผักที่เหลืออื่น ๆ ลงไป (จริง ๆ ขึ้นอยู่กับการหั่นด้วยนะคะ อย่างฟักทองนี้แม่ปูหั่นชิ้นเล็กก็จะสุกไวค่ะ) พอน้ำเดือดปุ๊บก็ใส่ บวบ ฟักทองอ่อน ซูกินี และเห็ดลงไป
          • 4. พอน้ำแกงเดือดอีกครั้งก็ใส่กุ้งสดลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ ชิมรส
          •  5. พอส่วนผสมเดือดอีกครั้งก็ใส่เสน่ห์ของแกงเลียงลงไป คือ ใบแมงลักนั่นเอง
          • 6. ตักเสิร์ฟร้อน ๆ ซดน้ำให้ชุ่มคอชื่นใจ หวัดหายสบายดี 

2. แกงจืดเต้าหู้สอดไส้เนื้อปลา
ถ้ารู้สึกว่าเริ่มจะเป็นหวัดลงคอแล้ว มีอาการระคายเคืองที่คอจะกลืนจะกินอะไรก็ค่อนข้างลำบาก แต่จะให้กินโจ๊กจนกว่าจะหายไข้ก็คงขาดสารอาหาร ก็ลองมาดูเมนูแกงจืดรสชาติเบา ๆ ไว้ซดร้อน ๆ ให้ร่างกายได้อบอุ่นกันหน่อยกับเมนูแกงจืดเต้าหู้สอดไส้เนื้อปลา ถึงจะชื่อว่าแกงจืดแต่รสชาติไม่จืดชืดแน่นอน แถมยังเป็นเมนูที่กินง่าย ๆ เพราะเป็นเต้าหู้และเนื้อปลานุ่ม ๆ คนที่กำลังเป็นหวัดลงคอก็สามารถกินได้ [สูตรจาก คุณบ่งบ๊ง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม]
ส่วนผสม แกงจืดเต้าหู้
          • เต้าหู้ขาวแบบนิ่ม
          • กระเทียม 
          • พริกไทย 
          • รากผักชี
          • เนื้อปลาอินทรีบด (หรือเนื้อปลากรายบด)
          • แตงกวา (หรือมะระสด) คว้านเม็ดออก
          • เห็ดหอมสับ
          • น้ำเปล่า
          • ผงซุปไก่
          • กระเทียมเจียว
          • ผักชี-ต้นหอม
          • พริกไทยป่น
วิธีทำแกงจืดเต้าหู้
          • 1. หั่นแบ่งเต้าหู้ขาวเป็น 4 ชิ้นแล้วผ่าครึ่งเพื่อให้สอดไส้เข้าไปได้ หั่นต้นหอมและผักชีหั่นเป็นท่อน ๆ พักไว้
          • 2. โขลกสามเกลอ กระเทียม พริกไทย และรากผักชีให้ละเอียด แล้วนำมาคลุกเคล้ากับเนื้อปลา
          • 3. นำเนื้อปลาที่ปรุงรสแล้วยัดไส้ไปในเต้าหู้และแตงกวา
          • 4. นำน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟให้เดือด ใส่ผงซุปไก่ลงไป (อาจใส่เห็ดหอมหั่นลงต้มไปด้วย เพื่อให้ได้กลิ่น)
          • 5. เมื่อน้ำเดือดจัด ใส่เต้าหู้และแตงกวายัดไส้ลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว (หรือน้ำปลา, เกลือป่น) 
          • 6. ถ้าเต้าหู้และแตงกวาลอยขึ้นมาแสดงว่าสุกดีแล้ว ก่อนปิดไฟ ให้แบ่งใส่ต้นหอมและผักชีบางส่วนลงไป ก่อนเสิร์ฟ โรยต้นหอม ผักชี และพริกไทย ใส่กระเทียมเจียว 

3. ซุปขิง
หรือถ้ายังรู้สึกว่าจมูกโล่งไม่พอ คงต้องเจอซุปขิงถ้วยนี้เลย ได้ความเผ็ดร้อนของขิงไปเต็ม ๆ แถมเมนูนี้ยังเป็นเมนูอาหารสุขภาพล้างพิษดี ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะขิงมีสรรพคุณช่วยในเรื่องการขับเหงื่อที่ถือว่าเป็นการขับสารพิษในระดับผิวหนังให้หมดไปได้ ช่วยขับลมในช่องท้อง แถมยังสามารถช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติอีกด้วย [สูตรจาก นิตยสาร Health & Cuisine]
ส่วนผสม ซุปขิง (สำหรับ 4 ที่)
          • ขิงอ่อน ปอกเปลือกซอยบาง 3 ถ้วย
          • มันฝรั่งหั่นเต๋า 3  ถ้วย
          • หอมหัวใหญ่สับ 1/2 ต้น
          • หอมฝรั่งซอย 1 ถ้วย 
          • ไวน์ขาว 1/4 ถ้วย
          • วิปปิ้งครีมสด 1/2 ถ้วย
          • น้ำสต๊อกไก่ 6 ถ้วย
          • เกลือ 1 1/2  ช้อนชา
          • น้ำมันมะกอกสำหรับผัด 3 ช้อนโต๊ะ
          • อาหารทะเลสด 2 ถ้วย เช่น หอยเชลล์สด กุ้งทะเลสด และเนื้อปลาทะเลสด หั่นเป็นชิ้นพอคำ
          • พริกไทยดำป่น เล็กน้อย
          • ผักชี (ตกแต่ง)
วิธีทำ ซุปขิง
          • 1. อุ่นน้ำสต๊อกให้เดือดแล้วใส่อาหารทะเลลงลวกจนสุก ตักขึ้นพักไว้
          • 2. ผัดหัวหอมสับกับน้ำมันมะกอกด้วยไฟอ่อนจนสุกและใส จึงใส่ขิง ต้นหอม พริกไทย และมันฝรั่งลงไปผัดสักครู่จนเริ่มสุกนิ่ม เติมไวน์ขาวลงไปแล้วเร่งไฟขึ้น ผัดต่ออีกประมาณ 1 นาที เติมน้ำสต๊อกที่ลวกเนื้อสัตว์เมื่อครู่ลงไป ลดไฟลงเป็นไฟกลางค่อนไปทางอ่อน ต้มส่วนผสมจนมันฝรั่งนิ่ม ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น 
          • 3. นำส่วนผสมที่ผัดไว้และเย็นแล้วใส่ลงในเครื่องปั่น ปั่นจนได้ซุปเนื้อละเอียดเนียนดี เทกรองผ่านกระชอน ใช้ทัพพียีส่วนผสมซุปให้ผ่านกระชอนลงไปมากที่สุด
          • 4. เทซุปที่ได้กลับใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟกลาง ต้มให้ร้อนอีกครั้ง เมื่อส่วนผสมร้อนแล้วปิดไฟ เติมครีมสด คนพอเข้ากัน ตักซุปใส่ถ้วยแล้วใส่เครื่องทะเลที่ลวกไว้ลงไป โรยด้วยผักชี พร้อมเสิร์ฟ

4. น้ำพริกสมุนไพร
เมนูน้ำพริกถ้วยนี้เรียกได้ว่า ยกกองทัพสมุนไพรเผ็ดร้อนที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลในร่างกายมาไว้ในถ้วยเดียว ทั้งกระเทียม หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด พริก และข่า แถมกินแล้วไม่อ้วนด้วย เพราะแคลอรีต่ำ ดูแปลกใหม่แต่ได้ประโยชน์เห็น ๆ [สูตรจาก นิตยสารแม่บ้าน]
ส่วนผสม น้ำพริกสมุนไพร
           • หอมแดงซอย 100 กรัม
           • กระเทียมซอย 75 กรัม
           • ตะไคร้ซอย 25 กรัม
           • ใบมะกรูดซอย 10 กรัม
           • พริกชี้ฟ้าแห้งหั่นท่อนสั้น ๆ 10 กรัม
           • กุ้งแห้ง 25 กรัม
           • ข่าซอย 5 กรัม
           • ไข่ต้ม 2 ฟอง
           • น้ำมันพืชสำหรับทอด
           • น้ำปรุงรส
           • ผักสดและผักต้มตามชอบ
ส่วนผสม น้ำปรุงรส
          • น้ำมะขามเปียกคั้นข้น ๆ 1/2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำตาลปีบ 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
          • 1. ทำน้ำปรุงรส โดยผสมน้ำมะขามเปียก น้ำปลา และน้ำตาลปีบ ยกขึ้นตั้งไฟเคี่ยวพอมีลักษณะเหนียวข้น ปิดไฟ เตรียมไว้
          • 2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ใบมะกรูด ข่า กุ้งแห้ง และพริกชี้ฟ้าลงทอดตามลำดับจนสุกเหลืองกรอบ จากนั้นตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน
          • 3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำปรุงรสลงไป พอร้อนแล้วใส่สมุนไพรที่ทอดไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่วดี ปิดไฟ ยกลง พักไว้พออุ่น จัดใส่ถ้วยรับประทานกับไข่ต้ม ผักสด และผักต้มตามชอบ

5. ปลาแซลมอนย่างใบชะพลู
ปลาแซลมอนย่างใบชะพลูจานนี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่จะช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้กลับมาอยู่ในสภาวะที่ปกติ เป็นอาหารสุขภาพย่อยง่าย ๆ ทำจากเนื้อปลาแซลมอนนุ่ม ๆ และยังหอมกลิ่นใบชะพลูด้วย ที่สำคัญคือทำง่ายมาก ๆ 
ส่วนผสม ปลาแซลมอนย่างใบชะพลู
          • เนื้อปลาแซลมอน (หั่นชิ้นยาวประมาณ 3 นิ้ว) 200 กรัม
          • ใบชะพลู 20 ใบ
          • น้ำมันพืช เล็กน้อย
          • เกลือป่นและพริกไทยดำบดหยาบ เล็กน้อย
ส่วนผสม น้ำจิ้ม
          • น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำตาลปีบ 2 ช้อนโต๊ะ
          • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
          • น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
          • พริกขี้หนูหั่นแว่น 2 เม็ด
วิธีทำ
          • 1. โรยเกลือและพริกไทยดำบนเนื้อปลาแซลมอน จากนั้นห่อด้วยใบชะพลู เสียบไม้แล้วย่างบนกระทะที่ใส่น้ำมันเล็กน้อยจนเนื้อปลาสุก
          • 2. เตรียมส่วนผสมน้ำจิ้มโดยผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปีบ เกลือ และน้ำเข้าด้วยกัน ต้มจนเดือด ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น ใส่พริกขี้หนู ชิมรส เสิร์ฟพร้อมปลาแซลมอนย่าง

6. บัวลอยน้ำขิง
มาดูเมนูของหวานไล่หวัดอันเลื่องชื่อกันบ้าง จะเป็นอะไรไปได้นอกเสียจาก บัวลอยน้ำขิง อย่างที่รู้ ๆ กันดีอยู่แล้วว่าสรรพคุณเจ๋งขนาดไหน ไหนจะน้ำขิงเผ็ดร้อนที่ซดแล้วโล่งจมูกคล่องคอและแก้หวัดได้แล้ว ยังมีงาดำบดเพิ่มโปรตีนให้ร่างกายอีกด้วย [สูตรจาก คุณ Three days before Valentine's สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม]
ส่วนผสม แป้งบัวลอย
          • แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
          • แป้งถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
ส่วนผสม ไส้งาดำ
          • งาดำป่น 1 ถ้วย
          • น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
          • เนยถั่วชนิดหยาบ 170 กรัม
ส่วนผสม น้ำขิง
          • น้ำเปล่า 5 ถ้วย
          • ขิงแก่เผาไฟ 3 - 4 ชิ้น
          • น้ำตาลอ้อย 1 ถ้วย
          • เกลือ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
          • 1. ทำไส้งาดำ โดยผสมน้ำตาลทรายกับงาดำป่น และเนยถั่วเข้าด้วยกัน (ถ้าไม่ชอบหวานให้ลดน้ำตาลลงได้) จากนั้นปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. แล้วนำไปแช่ช่องฟรีซ เตรียมไว้
          • 2. ทำแป้งบัวลอย โดยผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งถั่วเขียว และน้ำเข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียนแล้วลองปั้นดู ถ้ามีรอยแป้งแตกให้เติมน้ำได้เล็กน้อยค่ะ 
          • 3. ทำน้ำขิง โดยปอกขิงที่เผาไฟสัก 2-3 ชิ้น (จะฝานเป็นแผ่นหรือทุบเล็กน้อยก็ได้ค่ะ) ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ขิงลงไปต้ม ตามด้วยน้ำตาลอ้อย จากนั้นรอให้เดือดประมาณ 5 นาทีแล้วยกลงจากเตา พักไว้ค่ะ
          • 4. นำไส้ขนมออกมาจากตู้เย็น ปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ กดให้แบน วางไส้ขนมลงไปแล้วห่อแป้งให้มิด (เวลาต้มไส้จะได้ไม่แตก) พอห่อเรียบร้อยแล้วนำไปคลุกลงผงแป้งข้าวเหนียว (เพื่อขนมจะได้ไม่ติดกันค่ะ) ปั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนไส้ขนมหมดนะคะ *อย่าห่อแป้งหนามาก เวลารับประทานจะต้องอ้าปากกว้างเห็นลิ้นไก่นะคะ*
          • 5. นำหม้อน้ำขิงขึ้นตั้งไฟรอให้น้ำขิงเดือดก่อนแล้วนำขนมลงต้มทันทีค่ะ เมื่อขนมสุก ตัวขนมจะลอยขึ้นเหนือน้ำ ตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทาน

 7. ข้าวฟ่างเปียกสาเกเชื่อมนมสด
อีกหนึ่งเมนูขนมหวานที่เหมาะกับหน้าฝนนี้สุด ๆ เพราะข้าวฟ่างเป็นธัญพืชมากคุณค่า มีทั้งเส้นใยอาหาร และแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามินบี 3 ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส นั่นคือเหตุผลที่ว่า ถ้ารับประทานข้าวฟ่างเป็นประจำ จะทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดีนั่นเอง [สูตรจาก นายหมีพูห์]
ส่วนผสม ข้าวฟ่างเปียก
          • ข้าวฟ่าง
          • นมสดรสหวาน
          • ดอกอัญชัญ
          • สาเกเชื่อม
          •  ดอกพวงชมพู (โรยหน้า)
วิธีทำ
          • 1. ต้มข้าวฟ่างด้วยน้ำดอกอัญชัญคั้นจนข้าวฟ่างสุกได้ที่
          • 2. หั่นสาเกเชื่อมใส่ก้นถ้วย
          • 3. ตักข้าวฟ่างที่หุงแล้วใส่ลงไปแล้วเกลี่ยให้มีช่องตรงกลาง
          • 4. ใส่สาเกเชื่อมลงไปในช่องตรงกลาง
          • 5. เทนมสดรสหวานราดลงไป แต่งด้วยกลีบดอกพวงชมพูให้สวยงาม

 8. น้ำหมักผลไม้
เครื่องดื่มอย่างน้ำหมักผลไม้ก็ควรมีติดตู้เย็นไว้ในช่วงหน้าฝนนี้ เพราะผลไม้รสเปรี้ยว อย่างส้ม มะนาว เกรปฟรุต สตรอว์เบอร์รี องุ่น และอีกหลาย ๆ อย่างนี้มีวิตามินซีสูงที่จะช่วยรักษาระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติดี ร่างกายเราก็จะแข็งแรง ไม่โดนเชื้อโรคร้ายใด ๆ คุกคามได้ง่าย ๆ นั่นเอง และถ้าอยากจะมิกซ์แอนด์แมตช์ผลไม้ชนิดไหนหมักรวมกันก็ตามชอบใจได้ประโยชน์เห็น ๆ แนว ๆ ไม่ตกเทรนด์ด้วย [สูตรจาก คุณ isweet สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม]
สิ่งที่ต้องเตรียม
          • ผลไม้ตามชอบ [ดูตัวอย่างการเลือกผลไม้แต่ละชนิดมาผสมกันได้ที่ 60 สูตรน้ำหมักผลไม้แบบไทย ๆ เครื่องดื่มสุขภาพสุดฮิต]
          • น้ำแข็ง
          • น้ำแร่ หรือ น้ำสะอาด
          • ขวดหรือกระบอก
วิธีทำ
          • 1. นำผักหรือผลไม้ที่ชอบมาล้างให้สะอาดแล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เด็ดผักเป็นใบหรือทั้งก้านตามสะดวก (ให้ใส่ขวดได้เป็นพอ) 
          • 2. นำผักและผลไม้ใส่ลงขวดหรือกระบอกที่เตรียมไว้ ใช้ช้อนยาว ๆ บี้นิดหน่อยให้น้ำผลไม้และน้ำมันหอมระเหยของผักออกมา ใส่น้ำแข็งลงไป ตามด้วยน้ำสะอาด ปิดฝา นำไปแช่เย็น หมักขั้นต่ำ 1 ชั่วโมง ในกรณีต้องการดื่มแบบเย็นสะใจ แช่ไม่นาน (แต่ถ้าต้องการหมักข้ามวัน ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำแข็งค่ะ)  

 นอกจากทั้ง 8 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพรับหน้าฝนเหล่านี้จะมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันและบำรุงร่างกายของเราให้พร้อมและแข็งแรงอยู่เสมอได้แล้ว เรื่องของรสชาติและความอร่อยก็ไม่เป็นสองรองใคร จดสูตรเก็บไว้ให้พร้อม !
----------